share

กลั่นบทเรียน สู่กำเนิดมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล

Last updated: 13 Sep 2023
269 Views
กลั่นบทเรียน สู่กำเนิดมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล

องค์ความรู้ในการขับเคลื่อนงาน (know-how) ของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มีจุดเริ่มต้นก่อนการก่อตั้งองค์กรถึงเกือบ 3 ทศวรรษ โดยส่งผ่านจากแกนนำของ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานพัฒนาองค์กรชุมชนเพื่อลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของมูลนิธิฯ และมีสถานะเป็นเสมือน “แกนกลาง” ในการถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้ในการพัฒนาแนวคิดและกระบวนการทำงานมาสู่องค์กรแห่งนี้ ก็คือ จะเด็จ เชาวน์วิไล ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานร่วมกับมูลนิธิเพื่อนหญิงมาตั้งแต่ปี 2526 จนกระทั่งมีตำแหน่ง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง ตั้งแต่ปี 2544-2553

จะเด็จ สนใจทำงานพัฒนาขบวนการแรงงานหญิงตลอดมาจนเกิดการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็ง และนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายในระดับชาติที่ยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาวะแก่แรงงานหญิงในหลายด้านในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

ประสบการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดองค์ความรู้ที่คลี่คลายมาสู่แนวคิดและแนวทางการทำงานของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มาจาก 3 ช่วงใหญ่ ๆ ดังนี้

ช่วงที่ 1 การทำงานพัฒนาขบวนการแรงงานหญิง

นับตั้งแต่แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 4 (พ.ศ.2520-2524) อันเป็นช่วงหลังจากประเทศไทยปรับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก จนทำให้เกิดการขยายการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และส่งผลให้ผู้หญิงจากชนบทเดินทางเข้ามาเป็นแรงงานในโรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มเพื่อนหญิง ได้ดำเนินโครงการศึกษาสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนงานหญิง ในปี 2528 ทำให้ค้นพบปัญหาที่เกิดกับชีวิตแรงงานหญิงมากมาย ทั้งด้านสวัสดิการการจ้างงาน สุขภาพอนามัย และการดำรงชีวิต

สาเหตุเบื้องหลังปัญหาดังกล่าวประกอบด้วย 2 เรื่องที่สำคัญ คือ ปัญหาความยากจน ด้อยโอกาส อีกทั้งยังถมทับด้วย โครงสร้างสังคมแบบ “ชายเป็นใหญ่” ซึ่ง จะเด็จ ขยายความในรายละเอียดไว้ว่า

“การทำงานที่ผ่านมาทำให้เห็นชัดเจนว่า ผู้หญิงเองไม่ว่าชนชั้นไหนก็ถูกเอาเปรียบหมด ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงที่ยากจนก็จะยากลำบากยิ่งขึ้น”

เขาชี้ว่า ปัญหาของแรงงานหญิงนั้นมีความซับซ้อนกว่าปัญหาแรงงานทั่วไป เพราะไม่ใช่เรื่องของเศรษฐกิจโดด ๆ แต่มีมิติของวัฒนธรรมเรื่อง “ชายเป็นใหญ่” เกี่ยวพันด้วย

“ปัญหาแรงงานหญิง ผมคิดว่าเราจะมองแต่มิติการถูกนายจ้างเอาเปรียบ หรือมิติทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ แต่เขายังถูกโครงสร้างระบบ “ชายเป็นใหญ่” กดทับด้วย ดังนั้นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในขั้นแรกเราถึงต้องทำงานเชิงลึก ย้อนทวนกลับไปทำความเข้าใจกับชีวิตที่ผ่านมา ที่บางคนบอกว่า เอามิติเศรษฐกิจเป็นตัวนำในการแก้ปัญหา แล้วเดี๋ยวผู้หญิงจะดีขึ้นเอง นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาด การช่วยเหลือแรงงานหญิงจะละเลยมิติทางวัฒนธรรม เรื่องบทบาทหญิงชาย (Gender) ไม่ได้” 

เมื่อผู้หญิงชนบทอพยพมาทำงานในโรงงานมากขึ้น แม้แรงงานหญิงเหล่านี้จะมีบทบาทในด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อของสังคมที่ผูกติดกับผู้หญิง ที่เชื่อว่าผู้หญิงอ่อนแอ นุ่มนวล รับผิดชอบงานในบ้าน ทำให้ผู้ใช้แรงงานหญิงเมื่อมาทำงานก็จะถูกนายจ้างยกเรื่องความเป็นหญิงมาเป็นข้ออ้างเพื่อกำหนดเงื่อนไขการจ้างงาน โดยมองว่าผู้หญิงมีหน้าที่เป็นแม่บ้าน ไม่ได้มีหน้าที่หลักในการหาเลี้ยงครอบครัว และผู้หญิงมีข้อจำกัดมากมาย เช่น การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ ภาระการเลี้ยงดูลูก ดังนั้นจึงควรได้รับสวัสดิการและอัตราค่าจ้างและตำแหน่งงานต่ำกว่าเพศชาย และได้รับโอกาสน้อยกว่าผู้ชายในเรื่องการเลื่อนตำแหน่ง และมีโอกาสที่จะถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ขณะที่สถานการณ์ด้านความเป็นอยู่ที่บีบรัดทำให้ผู้ใช้แรงงานหญิงจำนวนมากไม่มีทางเลือกในการทำงานมากนัก จึงต้องทำงานในโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐานและถูกละเมิดสิทธิอยู่เสมอ รวมทั้งไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเข้ามาเป็นผู้บริหารสหภาพแรงงานเพราะมีความเชื่อว่าบทบาทนี้เป็นของผู้ชาย

กระบวนการในการจัดการปัญหาดังกล่าวที่ถูกพัฒนาขึ้นก็คือ การเสริมสร้างพลังให้กลุ่มแรงงานหญิงเกิดความเปลี่ยนแปลงจากภายในตนเอง ซึ่งได้พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ที่สั่งสมระหว่างช่วง พ.ศ. 2529-2536 อธิบายให้เห็นภาพเป็นขั้นตอนได้ ดังนี้

ขั้นตอนการเสริมพลังให้แรงงานหญิงของ มูลนิธิเพื่อนหญิง

  1. ระดับปัจเจกบุคคล โดยการลงไปเยี่ยมแรงงานหญิงที่บ้านเช่าหรือหอพักคนงาน เพื่อสร้างความเป็นเพื่อนและพูดคุยทำความรู้จัก เรียนรู้ชีวิตซึ่งกันและกันว่ามีปัญหาและความทุกข์อะไรบ้าง ที่บ้านในชนบทเป็นอย่างไร นำมาสู่ความเข้าใจกันและมีความเป็นเพื่อนช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามมีปัญหา เช่น ปัญหาในการทำงานกับหัวหน้าแผนก ปัญหาด้านการเงิน ทำให้คนงานหญิงเริ่มมีความมั่นใจในการสื่อสารปัญหาและช่วยกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
  2. ระดับแกนนำ โดยการจัด “กลุ่มศึกษา” เพื่อให้แรงงานหญิงได้รับการพัฒนาสู่การเป็นแกนนำระดับกลุ่ม บนแนวคิดการ “จัดตั้ง” กล่าวคือ การสร้างแกนนำให้ครอบคลุมไปสู่ทุกกลุ่ม (ทุกแผนกงาน และ ทุกกะ) จากการที่ได้มีการเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ สร้างความคุ้นเคย สร้างความเป็นเพื่อน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในระดับปัจเจกแล้วนั้น จึงได้มีการขยายเครือข่ายออกไปสู่เพื่อนในแผนกหรือเพื่อนที่พักอยู่ห้องและบ้านเช่าเดียวกัน และได้มีการจัดการศึกษาแบบไม่เป็นทางการ โดยเน้นกระบวนการ “สร้างความเปลี่ยนแปลงจากภายในตนเอง” เพื่อทำความเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากปัญหาส่วนตัวและปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาสภาพการจ้างในการทำงาน (ค่าแรง สุขภาพความปลอดภัย สวัสดิการต่าง ๆ) กว้างไกลออกไปจนถึงการสร้างความตระหนักและเข้าใจต่อปัญหา “ชายเป็นใหญ่” และทางออกในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งพัฒนาบทบาทคนงานหญิงให้เป็นผู้นำที่สามารถแก้ปัญหาได้ โดยการให้การศึกษาและฝึกอบรมเรื่องบทบาทหญิงชาย (Gender) ให้คนงานหญิงเห็นศักยภาพของตนเอง ว่ามีความสามารถในการแก้ปัญหา และเป็นผู้นำได้เสมอกับผู้ชาย
  3. ระดับสหภาพแรงงาน เมื่อคนงานหญิงเชื่อมั่นในอำนาจตนเองและกลุ่มแล้ว ได้สนับสนุนให้มีพัฒนาการในการเข้ามีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหาระดับโรงงานซึ่งต้องอาศัยกำลังคนมากขึ้น กำลังคนในระดับปัจเจกหรือระดับกลุ่มยังไม่มีกำลังพอที่จะแก้ไขปัญหาได้ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาระดับองค์กรแรงงานคือ สหภาพแรงงานที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาในโรงงาน รวมทั้งปัญหาของคนงานหญิงได้ คนงานหญิงจึงต้องเข้ามาเป็นผู้นำแรงงานในสหภาพแรงงาน หรือก่อตั้งสหภาพแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาในโรงงาน โดยการพัฒนาผู้นำจากแกนนำกลุ่มศึกษาขึ้นมาสมัครเป็นผู้นำสหภาพแรงงาน อีกทั้งยังสนับสนุนให้ผู้นำแรงงานมองทะลุออกไป “นอกกำแพงโรงงาน” นั่นคือ สามารถเชื่อมโยงตนเองเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง มองแก้ไขปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น โดยการมอง
  4. ระดับกลุ่มย่านอุตสาหกรรม เมื่อผ่านบทเรียนการเป็นผู้นำสหภาพแรงงานในโรงงานแล้ว คนงานหญิงต้องพัฒนาเครือข่ายคนงานหญิงเข้ามารวมกลุ่มในโรงงานต่าง ๆ ในเขตย่านอุตสาหกรรมเพื่อที่จะหนุนช่วยปัญหาแรงงานหญิงในระดับโรงงานให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยนำบทเรียนของตนเองที่แก้ไขปัญหาในโรงงานมาถ่ายทอดให้กับสหภาพแรงงานใหม่ ๆ ที่ต้องการบทเรียนและคำปรึกษาในการช่วยเหลือ รวมทั้งการพัฒนานโยบายปัญหาของแรงงานหญิงให้เป็นนโยบายในระดับพื้นที่อุตสาหกรรม เช่น การแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิลาคลอด การให้มีศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบการหรือในชุมชน หรือการลาของคนงานหญิงเมื่อมีประจำเดือน นายจ้างบางรายมักถือเป็นการขาดงานหรือไม่ให้ลา
  5. ระดับนโยบาย เกิดจากการรวมกลุ่มของแรงงานหญิงในแต่ละพื้นที่อุตสาหกรรมมาร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์ปัญหาของแรงงานหญิงและพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะร่วมกัน เช่น การเรียกร้องกฎหมายลาคลอด 90 วัน ซึ่งประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2536 และการให้มีศูนย์เลี้ยงเด็กที่กำลังเรียกร้องอยู่

“ขั้นตอนเหล่านี้เกิดจากการที่เราเรียนรู้ไปท่ามกลางการปฏิบัติ เริ่มจากลงไปเยี่ยมบ้าน เยี่ยมหอพักของเขา เรียกว่า ลงไปแบบเชิงรุก ไปนั่งคุย ทำความรู้จัก สนิทสนม ปลุกให้เขาเห็นว่าผู้หญิงมีศักยภาพ พอเขาเริ่มยอมรับเรา ให้ความไว้วางใจ ถ้าเขามองเราเป็นพี่เป็นน้อง หรือลูกหลานก็เรียกว่า ประตูขั้นแรกผ่านแล้ว”

“จากนั้น เราก็ชวนให้เขาดึงเพื่อนเข้ามา แล้วทำกระบวนการกลุ่มศึกษา ซึ่งใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเชิงลึก ตั้งคำถามไปเรื่อย ๆ ให้เขาได้ทบทวนว่า ทำไมเขาต้องมาทำงานที่นี่ ทำไมสภาพมันแย่ เพื่อให้เขามองเห็นว่า เขาเองก็เป็นมนุษย์ไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ แต่ทำไมเขาต้องทำงานหนัก เป็นผู้ให้อย่างเดียว คอยหาเงินส่งที่บ้าน พอแม่บอกขอเงินไปให้พี่ชายน้องชายบวช หรือต้องเรียนหนังสือก็ต้องส่งไปให้ โดยไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ชีวิตของตัวเขาเองจะดีขึ้นได้อย่างไร ผมไม่ได้ตั้งคำถามเพื่อให้เขาต้องกบฏต่อสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เขาอาจคิดถึงตัวเองให้ชัดเจนขึ้น เช่น จัดสรรเงินไปออมทรัพย์ให้มากขึ้น หรือเจียดเงินไปเรียนหนังสือนอกระบบ เป็นต้น”

“เมื่อเขาเริ่มมองเห็นศักยภาพตัวเองที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้ ก็สะท้อนให้เห็นว่าทำคนเดียวไม่ได้ ต้องทำเป็นกลุ่ม ต้องรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงาน ซึ่งผู้หญิงร่วมเป็นผู้นำได้ จนนำไปสู่ขั้นต่อ ๆ ไป และพิสูจน์ว่า พลังของแรงงานหญิงนั้นเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ดังเช่น กรณีประกันสังคมและลาคลอด 90 วัน”

“จะเห็นว่า ขบวนการแรงงานหญิงเริ่มจากจุดเล็ก ๆ แล้วขยายไปสู่จุดนั้น เรียกได้ว่าเป็นการคุณภาพไปสู่ประมาณ เริ่มจากคนไม่กี่คนที่ตกผลึกทางความคิด เชื่อว่าผู้หญิงเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ หลังจากนั้นก็นำไปสู่ปริมาณ คือขยายเครือข่ายใหญ่ขึ้น จนเกิดพลังในการเรียกร้อง ต่อสู้ แก้ปัญหาได้สำเร็จ”

จะเด็จ ยังมีข้อสังเกตต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในการเสริมสร้างพลังให้แก่ขบวนการแรงงานหญิงด้วยวิธีการตามขั้นตอนที่นำเสนอนี้อีก 2 ประเด็น ดังนี้

✤ ประเด็นแรก การเสริมสร้างพลังจนเกิดความเปลี่ยนแปลงจากภายใน ได้นำไปสู่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังเห็นได้จากกลุ่มแรงงานหญิงที่เข้าร่วมในการก่อตั้งกองทุนสุขภาพ รวมถึง การต่อสู้กรณีผลักดันกฎหมายประกันสังคม และกฎหมายลาคลอด 90 วัน ที่กลายเป็นกลุ่มพลังหลัก และ “สู้ไม่ถอย” จนถึงเส้นชัย

✤ ประเด็นที่สอง ในกระบวนการเสริมสร้างพลังเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนนี้ กลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาไม่อาจขับเคลื่อนไปได้ด้วยตนเองโดยสมบูรณ์ เพราะขาดทักษะและความรู้ในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาให้มีมิติรอบด้าน แหลมคม จึงจำเป็นต้องมีนักพัฒนา หรือ “ปัญญาชน” เข้าร่วมในลักษณะ “เคียงบ่าเคียงไหล่” นั่นคือ ไม่ช่วงชิงการนำ หรือ “ชี้นำ” ทิศทาง ตลอดจนประเด็นข้อเรียกร้องที่ไม่ได้มาจากฐานความต้องการหรือปัญหาของเขาเอง

 ช่วงที่ 2 การช่วยเหลือแรงงานหญิงที่ได้รับผลกระทบจากการทำงาน

นับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา ประเทศไทยเริ่มแสดงสัญญาณแห่งความทะเยอะทะยานในการมุ่งไปสู่การเป็น“เสือเศรษฐกิจตัวที่ห้า” ของภูมิภาค ถัดจากเกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง ในฐานะ “ประเทศอุตสาหกรรมใหม่” หรือที่เรียกกันติดปากในยุคนั้นว่า “นิคส์” (Newly Industrialized Countries-NICs) โดยทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการลงทุน ล้วนขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน

การพัฒนาประเทศบนทิศทางดังกล่าวได้สร้างแรงดึงดูดทั้งด้วยพลังทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้หนุ่มสาวจำนวนมากละทิ้งไร่นา ปรับเปลี่ยนสถานะมาเป็น “แรงงาน” ในภาคอุตสาหกรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเริ่มมีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยในขณะนั้นยังขาดความรู้เท่าทันพอที่จะสำเหนียกต่อความเสี่ยง สัญญาณอันตราตลอดจนความสามารถในการจัดการกับผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดตามมาจากสภาพความเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมอุตสาหกรรม

เฉพาะในส่วนของกลุ่มแรงงานหญิง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมหลักที่เฟื่องฟูหลายประเภท เป็นกลุ่มที่ตกอยู่ภายใต้ปัญหาที่ซับซ้อนเป็นพิเศษ ดังที่ จะเด็จ ได้สรุปไว้ว่า เป็น “สภาพการถูกกดทับ 4 ระดับ”

  • ระดับที่ 1 ในฐานะลูกจ้าง ที่ถูกเอาเปรียบจากนายจ้างเรื่องค่าแรง สวัสดิการ เงื่อนไขการจ้างงาน ฯลฯ
  • ระดับที่ 2 ในฐานะ “ผู้หญิง” ในสังคม “ชายเป็นใหญ่” ที่ต้องทำงานหนัก ทั้งการหารายได้ และการทำงานบ้าน เมื่อสุขภาพอ่อนแอหรือพิการ ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงในครอบครัวตามมา
  • ระดับที่ 3 ในฐานะ “ผู้ป่วย” ที่คนไม่เข้าใจสาเหตุว่าเกิดจากการทำงาน คิดว่าเป็นโรคร้าย หรือเป็น “ตัวถ่วง” สร้างภาระและความเสี่ยงให้เพื่อนร่วมงานและคนรอบตัว
  • ระดับที่ 4 ในฐานะ “คนจน” ซึ่งรัฐบาลไม่สนใจดูแลอย่างจริงใจ เพราะห่วงใยผลประโยชน์จากภาคธุรกิจและกลุ่มทุนมากกว่า

จะเด็จ สรุปแนวคิดที่นำไปสู่ทางออกต่อปัญหานี้ว่า “ในสภาพที่ถูกเอาเปรียบถึง 4 ระดับเช่นนี้ การจะแก้โจทย์ได้ ต้องเปลี่ยนตัวผู้ได้รับผลกระทบให้เขาทะลุออกไปจากมิติเหล่านี้ให้ได้ ซึ่งจะยากหน่อยในช่วงแรก เพราะเราต้องลงไปหาเขาถึงที่บ้าน ดูแลจนเขาผ่านพ้นปัญหาไปได้ แล้วกลายเป็นแกนนำในการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และความมั่นใจกับเพื่อนที่มีปัญหาแบบเดียวกัน”

เมื่อประสบการณ์ผ่านพ้นมาจนถึงช่วงเวลาแห่งระลอกที่สอง การกระบวนการ 5 ขั้นตอน ได้ถูกปรับประยุกต์ให้สอดคล้องกับปัญหา และได้ค้นพบแนวทางใหม่ๆ เพิ่มเติม ดังนี้

  • ขั้นที่ 1 ระดับปัจเจกบุคคล ยังคงเป้าหมายและรูปแบบคล้ายคลึงกับระลอกแรก คือ จากการการลงไปเยี่ยมแรงงานหญิงที่บ้านเช่าหรือหอพักคนงานเพื่อสร้างความเป็นเพื่อนและพูดคุยทำความรู้จัก เรียนรู้ชีวิตซึ่งกันและกันว่ามีปัญหาและความทุกข์อะไรบ้าง ในระลอกที่สอง ยังคงยึดเอาการเยี่ยมบ้านแรงงานและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบเป็น “ฐาน” สำคัญของการสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งที่การเปลี่ยนแปลงภายในตนเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหา
  • ขั้นที่ 2 จัดตั้ง “กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน” เพื่อให้ “แกนนำ” ที่ผ่านพ้นปัญหาแล้ว ได้พบปะแลกเปลี่ยนกับผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อแบ่งปันข้อมูล มุมมอง และช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหา และสนับสนุนให้ผู้ที่ก้าวตามมาเดินผ่านพ้นด้วยความเชื่อมั่น โดย “กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน” เป็นพัฒนาการมาจาก “กลุ่มศึกษา” ในระลอกแรก
  • ขั้นที่ 3 การจัดตั้ง “กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบด้วยโรคจากการทำงาน” เป็นการรวมกลุ่มของแกนนำที่ผ่านพ้นปัญหาแล้ว เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือกัน อีกทั้งเป็นกระบอกเสียง สะท้อนปัญหา ความต้องการของกลุ่มต่อสังคม โดยเป็นการปรับประยุกต์มาจากสากลในการจัดตั้ง “กลุ่มเหยื่อ” (Victim Group) แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรม และเป็นทางออก หลังจากพบว่า สหภาพแรงงาน ซึ่งเคยมีบทบาทหลักในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิของแรงงานนั้นไม่ใช่ “คำตอบ” สำหรับการขับเคลื่อนในเรื่องนี้
  • ขั้นที่ 4 การจัดตั้งสภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน เป็นการรวมกลุ่มผู้ป่วยย่อยๆ ต่างๆ เข้าร่วมเป็น “เครือข่าย” ที่สร้างพลังในการต่อสู้ เรียกร้อง และผลักดันนโยบาย โดยอาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อยอดมาจากพื้นฐานความคิดในการผนึกกำลังของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน หรือสหภาพแรงงานจากย่านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังที่ทำในประสบการณ์ระลอกที่หนึ่ง
  • ขั้นที่ 5 ระดับนโยบาย เป็นการประมวลปัญหา ข้อเสนอจากกลุ่มผู้ประสบปัญหาเพื่อนำเสนอต่อรัฐและผู้กำหนดนโยบาย และทำได้สำเร็จพอสมควร ทั้งด้านนโยบายเกี่ยวกับความเจ็บป่วยจากการทำงาน และความปลอดภัยในการทำงาน โดยมีการออก พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 และจัดตั้ง สถาบันความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ขึ้นตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ในเวลาต่อมา

ข้อเรียนรู้สำคัญ   

  1. บริบทที่แตกต่างอย่างสำคัญระหว่างประสบการณ์ระลอกแรกกับระลอกที่สอง ก็คือ “โจทย์” ในการแก้ปัญหา ที่เปลี่ยนจุดเน้นจากเรื่องของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นปัญหาที่จับต้องได้ชัดเจนและเร่งด่วน เช่น เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพและความเจ็บป่วย

    ปัจจัยนี้ได้ส่งผลต่อพัฒนาการของ กระบวนการ 5 ขั้นตอน อย่างชัดเจนในด้านรูปแบบการรวมกลุ่ม ที่เปลี่ยนผ่านจากรูปแบบของ “กลุ่มศึกษา” ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงเวลาแห่งการตื่นรู้อุดมการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในช่วงหลังปี 2510 เป็นต้นมา รวมถึงการต่อสู้ ต่อรองผ่านกลไก “สหภาพแรงงาน” ไปสู่รูปแบบของ “กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน” - “กลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน” - “สภาเครือข่ายผู้ป่วยจาการทำงานและสิ่งแวดล้อม” ที่แม้ยังคงรักษา “หน่วย” (Unit) ของการจัดตั้ง กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ - กลุ่มแกนนำ - เครือข่ายของกลุ่มแกนนำ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ล้อไปตามกระบวนการ 5 ขั้นตอนระลอกแรก แต่ก็มีการปรับประยุกต์ในสาระสำคัญ เพื่อให้กลุ่มและองค์กร ซึ่งเป็นฐานของกระบวนการในขั้นตอนที่ 2-4 สามารถตอบสนองต่อสภาพปัญหา และมีพลังในการขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้โดยสอดคล้องกับปัจจัยและเงื่อนไข เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเฉพาะ ในการปกป้องสิทธิและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบด้วยโรคจากการทำงาน
  2. เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการ 5 ขั้นตอน จากประสบการณ์ระลอกแรกมาสู่ระลอกที่สอง กล่าวได้ว่า ในขั้นนี้ (1) การคลี่คลายรูปแบบ “กลุ่มศึกษา” มาสู่ “กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน” และ (2) การปรับประยุกต์แนวคิด “กลุ่มเหยื่อ” จากโลกสากล ในการรวมตัวแกนนำที่ผ่านพ้นปัญหาแล้วไปสู่ “กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบด้วยโรคจาการทำงาน” เพื่อเป็นกลไกหลักในการต่อสู้และต่อรองทางสังคมได้อย่างมีพลัง จนสามารถทดแทนรูปแบบองค์กรของ “สหภาพแรงงาน” ได้อย่างสมบูรณ์  ถือเป็นสาระสำคัญแห่งผลพวงความก้าวหน้าที่ได้มาในขั้นนี้
  3. ขณะเดียวกัน การขยายวิสัยทัศน์จากปัญหาในแวดวง “ผู้ใช้แรงงาน” ไปเชื่อมโยงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมในภาพรวมได้อย่างคมชัด ดังเห็นได้จากการก่อตั้ง สภาเครือข่ายผู้ป่วยจาการทำงานและสิ่งแวดล้อม และหลอมรวมเข้าเป็นองคาพยพหนึ่งของ “สมัชชาคนจน” นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้เครือข่ายผู้ป่วยฯ ขยายภาคีเครือข่ายออกไปได้อย่างกว้างไกล จนกลายเป็นฐานของการขับเคลื่อนงานมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเพิ่มพลังในการต่อสู้และผลักดันนโยบายได้อย่างทบทวีคูณ

 ช่วงที่ 3 การพัฒนาชุมชนลดเหล้า ลดความรุนแรงระยะบุกเบิก

ช่วงเวลาประมาณ 8 ปี ในการดำเนินโครงการเพื่อลดเหล้าลดความรุนแรงในครอบครัว ตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปี 2553 พบว่า ผลความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดำเนินงานแบ่งได้ 4 ระดับ นับตั้งแต่ ความเปลี่ยนแปลงระดับปัจเจกบุคคลและระดับแกนนำชุมชน ความเปลี่ยนแปลงระดับเครือข่าย ความเปลี่ยนแปลงระดับชุมชน และ ความเปลี่ยนแปลงระดับนโยบาย

จะเด็จ เชื่อมโยงให้เห็นว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือการปรับประยุกต์กระบวนการพัฒนาที่ก่อรูปจากการทำงานกับขบวนการแรงงานหญิงมานานกว่าหนึ่งทศวรรษ ให้เข้ากับประเด็นการทำงานใหม่ ทว่า มี “แก่น” ของปัญหาเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่ปรับเปลี่ยนบริบทไปสู่ชุมชน

“คนที่ติดเหล้ามาก ๆ หรือผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรง มันมีมิติหนึ่งร่วมกันนั่นคือ ‘ความเป็นมนุษย์’ ถูกทำลายไป ฉะนั้นเราจึงใช้กระบวนการ 5 ขั้นตอนในการกู้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขากลับคืนมาอย่างแยบยล”

ขณะเดียวกัน ประเด็นการทำงานใหม่ยังมีพื้นฐานเกี่ยวข้องกับรากเหง้าปัญหาเดิมนั่นคือ “ค่านิยมชายเป็นใหญ่” ควบคู่กันอยู่ด้วย

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ในโครงสร้างสังคมแบบ “ชายเป็นใหญ่” นี้ ผู้หญิงและผู้ชายถูกสังคมทำให้เชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้นำ เป็นชายชาตรีที่แข็งแรง มีอำนาจและคำสั่งเหนือผู้หญิง ขณะที่ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ นุ่มนวล ดังนั้น ผู้ชายจึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้หญิงต้องเป็นผู้ตาม หรือ “ช้างเท้าหลัง”

นอกจากนี้ จะเด็จยังชี้ว่า การนำกระบวนการ 5 ขั้นตอน มาใช้กับปัญหาและบริบทนี้ต้องตระหนักว่า เพียงเท่านี้อาจยังไม่พอที่จะแก้ปัญหาให้ถึงจุดเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนได้

“กระบวนการ 5 ขั้นตอน อาจแก้ปัญหาบางเรื่องไม่ได้ทั้งหมด เพราะปัญหาหรือผลกระทบในเรื่องนั้นอาจไม่ได้มีสาเหตุจากโครงสร้างชายเป็นใหญ่อย่างเดียว ในกรณีการทำโครงการฯ นี้ กระบวนการ 5 ขั้นตอน แก้ได้เฉพาะเรื่องระบบชายเป็นใหญ่กับความความรุนแรงในครอบครัว และการกู้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กลับคืนมาก แต่บางเรื่องมีมิติของความยากจนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้น เราต้องใช้วิธีอื่นเสริมเข้ามาด้วย เช่น อาจต้องมีเรื่องการฝึกอาชีพ เพื่อให้เขามีทางเลือกในการพึ่งพาตนเอง โดยไม่ต้องขึ้นกับผู้ชายตลอดไปรวมอยู่ด้วย” 

......

“สิ่งที่อยากชี้ให้เห็นคือ ในการทำงานแต่ละประเด็น เราต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของเราให้ทะลุทะลวงว่า ปมปัญหามันซ้อนทับกันกี่ชั้น อาจเป็นได้ตั้งแต่ระบบชายเป็นใหญ่ ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคม เรื่องของชนชั้น ความยากจน ฯลฯ”


สิ่งเหล่านี้ทำให้ชุมชนได้เรียนรู้ร่วมกันว่า ปัญหาความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาของชุมชนที่ต้องร่วมกันแก้ไข

เมื่อกระบวนการทั้งหมดถูกถักทอเข้าเป็นเนื้อเดียวกันอย่างกลมกลืนและต่อเนื่อง ได้ทำให้หญิงและชายที่เคยเป็นผู้ที่อยู่ในวังวนปัญหาความรุนแรงจากการ “ดื่ม” ในชุมชนนำร่อง มองเห็นศักยภาพของตนเอง และอาสาเข้าร่วมกลุ่มและ เครือข่าย “ผู้หญิงที่ผ่านพ้นปัญหาความรุนแรง” และ “ผู้ชายเลิกเหล้า” ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาแก่คนอื่น ๆ

และพัฒนาไปสู่การขยายบทเรียน.ให้เกิดการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมในระดับชุมชนอย่างยั่งยืน ที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลนำไปเป็นแนวทางการขับเคลื่อนในระเวลาต่อมา

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy