แชร์

กฎหมายคุกคามทางเพศและความรุนแรงในครอบครัว เปรียบเสมือน “หลักพิง” ของประชาชน

อัพเดทล่าสุด: 25 ก.ย. 2025
14 ผู้เข้าชม

คุณศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน และกรรมการชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย กล่าวในการเสวนาว่า กฎหมายเปรียบเสมือน "หลักพิง" ของประชาชน แต่ในหลายกรณีแม้มีกฎหมายอยู่แล้ว กลับไม่ถูกนำมาใช้จริง หรือในบางเรื่องที่จำเป็นต้องมี กฎหมายก็ยังไม่มีรองรับ

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นชัดคือกรณีการคุกคามทางเพศและการถูกติดตาม (Stalking) ซึ่งแม้จะเป็นปัญหาที่ถูกพูดถึงมายาวนาน แต่เมื่อนำไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่มักตอบกลับว่า "ยังไม่เกิดเหตุ" เพราะผู้กระทำยังไม่ได้ทำร้ายร่างกายจริง ทำให้กฎหมายไม่สามารถปกป้องผู้ที่ถูกคุกคามได้ทันเวลา คุณศศินันท์เล่าว่า สมัยทำงานเป็นทนายความ มีเพื่อนนักร้องถูกติดตามถึงหน้าห้องพักแต่กลับแจ้งความไม่ได้ เนื่องจากตำรวจมองว่า "ผู้ก่อเหตุแค่ชอบคุณ ยังไม่ได้ทำอะไรผิด" สิ่งนี้สะท้อนช่องว่างของกฎหมายที่ไม่สามารถคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานได้

เธออธิบายว่า การมีกฎหมายจึงสำคัญ เพราะเป็นเครื่องมือยืนยันว่าเราไม่ได้เรียกร้องเพียงด้วย "ความรู้สึก" แต่มีกรอบกฎหมายรองรับ เช่นเดียวกับคดีคุกคามทางเพศที่ในอดีตไม่ถือว่าผิด แต่เมื่อกฎหมายปรับปรุงให้ทันสมัย สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปใช้ต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองและผู้อื่นได้

ความรุนแรงในครอบครัว ไม่ใช่เพียงเรื่องภายในบ้าน

คุณศศินันท์ย้ำว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายจำนวนมาก แต่หลายฉบับล้าสมัยหรือไม่สอดคล้องกับสภาพสังคม จึงต้องมีการแก้ไขหรือร่างใหม่เพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้จริง โดยเฉพาะเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งสังคมไทยยังมีความเชื่อฝังรากว่าเป็น "เรื่องภายในบ้าน" ไม่ควรยุ่ง ทั้งที่แท้จริงแล้ว ความรุนแรงในครอบครัวอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมร้ายแรง ตั้งแต่การทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงการฆาตกรรม และนำไปสู่ความรุนแรงทางเพศ กลายเป็นปัญหาในวงที่กว้างขึ้น

เธอยกตัวอย่างว่า การที่พ่อแม่ตีลูกด้วยความเชื่อว่า "ตีเพราะรัก" อาจหล่อหลอมให้เด็กเติบโตมาพร้อมความเข้าใจผิดว่าความรุนแรงคือการแสดงความรัก และกลายเป็นผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเมื่อโตขึ้นได้ การมองว่าความรุนแรงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จึงเป็นอันตรายต่อสังคมในระยะยาว

อีกประเด็นที่คุณศศินันท์เห็นว่าสำคัญคือ การตีความและกำหนดโทษทางกฎหมาย ปัจจุบันหากการกระทำรุนแรงเกิดขึ้น "ภายในครอบครัว" โทษที่ได้รับมักเบากว่ากรณีเดียวกันที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก ทั้งที่ในความเป็นจริง "คุณค่าความเป็นมนุษย์ไม่ได้ลดลงเพียงเพราะเป็นคนในครอบครัว" สิ่งนี้สะท้อนมุมมองทางสังคมที่ยังมองความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องรอง ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไข

สิ่งสำคัญต้องเริ่มตั้งแต่ระบบการศึกษา

เธอเสนอว่า การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มตั้งแต่ระบบการศึกษา เด็กควรได้รับการปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับ "การคุกคาม" และ "ความรุนแรง" ตั้งแต่ในโรงเรียน ไม่ใช่ปล่อยให้เรียนรู้เมื่อโตแล้ว เพราะอาจสายเกินไป บทเรียนและสื่อสาธารณะเองก็ควรเลิกทำให้การคุกคามดูเป็นเรื่อง "ปกติ" ตัวอย่างเช่น บทเรียนที่ใช้การแซวเด็กผู้หญิงเป็นเรื่องตลก หรือการนำเสนอความรุนแรงเชิงโรแมนติกในละครไทย สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่มเพาะมายาคติที่อันตรายต่อสังคม

คุณศศินันท์ยังเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ ที่แม้จะยังเผชิญปัญหาความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ แต่ได้ใช้ "สื่อ" อย่างซีรีส์กฎหมายมาเล่าเรื่องการคุกคามและความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ จนสังคมตระหนักและถกเถียงกันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยสามารถนำมาเป็นบทเรียนได้

ท้ายที่สุด เธอย้ำว่ากฎหมาย ความเข้าใจของสังคม และการเรียนรู้ตั้งแต่เยาว์วัย ต้องเดินไปพร้อมกัน เพื่อสร้างหลักพิงที่มั่นคงให้กับผู้ถูกกระทำ และเพื่อให้สังคมไทยหลุดพ้นจากการมองความรุนแรงว่าเป็น "เรื่องปกติ"

-----

บทความจากงานเสวนา กฎหมายจะช่วยยุติความรุนแรงทางเพศและความรุนแรงในครอบครัวได้อย่างไร? วันอังคารที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10:00-12:00 น. ห้องวีนัส โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy