ฝ่าวิกฤตโควิด-19 บทบาทมูลนิธิหญิงชายกับเครือข่าย ในวันที่รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐไม่ได้
(เผยแพร่บทความเมื่อ 13 สิงหาคม 2564)
เครือข่ายชุมชนเป็นพื้นที่ที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลให้ความสำคัญมาก การแก้ไขปัญหาความเท่าเทียมจากระบบชายเป็นใหญ่ ความรุนแรงในครอบครัว ทุกคนในชุมชนถือว่ามีบทบาทสำคัญ และขับเคลื่อนร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเสมอมา ในช่วงที่เกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ มูลนิธิฯ จึงวางแผนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนร่วมกับเครือข่ายชุมชนไว้ 3 ระยะ
- ระยะสั้น ได้แก่ การมอบอาหาร ถุงยังชีพ
- ระยะกลาง สร้างความมั่นคงทางอาหาร ทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้แต่ละพื้นที่ดูแลตัวเองได้ รวมถึงเชื่อมร้อยเครือข่ายทั้งเครือข่ายชุมชนชนบท ชุมชนเมือง และชุมชนแรงงาน
- ระยะยาว ผลักดันให้เกิดนโยบาย ให้องค์ความรู้ในการป้องกัน ดูแลตัวเองแก่ชุมชน และการนำเสนข่าวเพื่อกระตุ้นให้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา
บทเรียนจากการระบาดระลอกแรก
ระลอกแรกของการระบาด มูลนิธิฯ ได้ประสานระหว่างเครือข่ายชุมชนชนบท ชุมชนเมือง และชุมชนแรงงาน เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนด้านอาหาร โดยชุมชนชนบทที่มุ่งเน้นการผลิตเกษตรอินทรีย์ได้แบ่งปันข้าวสาร ผักปลอดสารพิษ อาหารแห้ง ให้กับเครือข่ายชุมชนเมือง ชุมชนแรงงาน ซึ่งกำลังประสบปัญหาด้านอาหาร ในขณะที่ชุมชนเมืองและชุมชนแรงงานก็เริ่มสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยการใช้พื้นที่ที่พอมีทำเกษตรอินทรีย์เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองได้
จากบทเรียนในครั้งนั้น และด้วยความร่วมมือของมูลนิธิชีววิถี หรือ ไบโอไทย จึงได้มีการจัดทำถุงยังชีพ โดยอุดหนุนสินค้าจากเครือข่ายชุมชนชนบท ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ นำไปมอบให้กับชุมชนเมืองและชุมชนแรงงานเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นและสร้างรายได้ให้กับชุมชนชนบท นอกจากนี้ยังทำให้เครือข่ายสามารถเชื่อมโยงและเกื้อหนุนกันได้อีกด้วย
นอกจากการจัดทำถุงยังชีพแล้ว ยังมีโครงการ “ข้าวไข่เจียวอิ่มสุข” ซึ่งเป็นร้านข้าวไข่เจียวราคาแล้วแต่จะจ่าย ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด คนไร้บ้าน หรือคนยากลำบากก็สามารถมารับประทานได้ฟรี หรือบางคนก็ถือโอกาสบริจาคเพื่อเป็นทุนในการช่วยเหลือคนอื่นด้วย ข้าวไข่เจียวอิ่มสุขถือเป็นการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจสำหรับคนรายได้น้อย เพราะหากเป็นการแจกข้าวกล่อง และถุงยังชีพก็ทำได้เพียงระยะสั้น แต่การมีร้านข้าวไข่เจียวลักษณะนี้จะทำให้เกิดการช่วยเหลือกันได้อย่างยั่งยืนมากกว่า
การหนุนเสริมให้องค์ความรู้
เมื่อสถานการณ์หนักขึ้น มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ในขณะที่ระบบการรักษาไม่เพียงพอ ชุมชนจึงต้องดูแลกันเอง สิ่งที่ต้องทำเพิ่มขึ้นคือการเชิญผู้ที่มีความรู้มาให้ข้อมูลกับคนในชุมชน เนื่องจากคนในชุมชนยังมีความเข้าใจผิด มีการตีตรา มีความหวาดระแวง และมีความตื่นกลัว ขาดข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 เรื่องการแบ่งระดับอาการป่วยเป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง การเข้าสู่ระบบ Home isolation การป้องกันที่ถูกต้อง รวมถึงการใช้สมุนไพร และข้อมูลการฉีดวัคซีน โดยหากไม่สามารถลงพื้นที่ได้ ก็จะใช้การประชุมผ่านระบบออนไลน์ร่วมกับผู้นำชุมชนเพื่อส่งต่อองค์ความรู้ให้กับคนในชุมชนต่อไป
หลักคิดในการทำงานร่วมกับชุมชน
สิ่งสำคัญของการทำงานเชิงลึกในพื้นที่ ไม่ใช่แค่แจกถุงยังชีพหรือบริจาคอาหารแล้วจบ หลักวิธีคิดในการทำงานร่วมกับชุมชนต้องมีการ “เกาะติด ตามต่อ หนุนเสริม” เกาะติดเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ตามต่อจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข หนุนเสริมในสิ่งที่ชุมชนขาด ช่วยเหลือในสิ่งที่ชุมชนประสบปัญหา และต้องพัฒนาคู่กันไปเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน พร้อมกับการให้ข่าวเพื่อสื่อสารกระตุ้นภาครัฐให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของคนในชุมชนมากขึ้น
ปัญหาจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวของภาครัฐ
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนเมืองและชุมชนแรงงานมีความน่าเป็นห่วง การรับมือที่ทำได้ค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะการทำงานของภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อสถานการณ์ที่เร่งด่วน รัฐไม่มีระบบรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น ขาดความยืนหยุ่น กลายเป็นการผลักภาระให้ชุมชน หลายชุมชนที่ประสบปัญหา เมื่อเห็นคนในพื้นที่ลำบากหรือติดโควิด-19 คนในชุมชนจะไม่นิ่งเฉย พร้อมเข้าไปช่วยเหลือทันที แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะยังขาดการสนับสนุนในเรื่องของอุปกรณ์ ทั้งเตียงรักษา ชุด PPE เครื่องวัดออกซิเจน ยารักษา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยในการดูแลผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งองค์ความรู้ที่จำเป็น
สถานการณ์ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ในขณะที่หลายชุมชนเริ่มมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก การช่วยเหลือกันทั้งในชุมชนและระหว่างเครือข่ายชุมชนต่าง ๆ รวมถึงการประสานงานของมูลนิธิฯ จึงยังต้องดำเนินต่อ การรอเพียงความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวคงเป็นไม่ได้และไม่ทันต่อสถานการณ์