แชร์

"คดี เอ็กซ์-หมอนิ่ม" อุทาหรณ์จากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

อัพเดทล่าสุด: 13 มิ.ย. 2024
163 ผู้เข้าชม

(เผยแพร่บทความเมื่อ 19 ตุลาคม 2564)

“คดีสังหารเอ็กซ์-จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม” นักยิงปืนทีมชาติไทย ที่ตกเป็นข่าวใหญ่เมื่อปี 2556 จนเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นระยะเวลา 8 ปี ในการพิจารณาคดี บทสรุปจบลงด้วย ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ “ยกฟ้อง” พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือหมอนิ่ม ขณะที่พฤติการณ์การกระทำผิดของ น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา แม่ของหมอนิ่ม ศาลฎีกาเห็นว่า เนื่องจากที่เอ็กซ์กระทำต่อหมอนิ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ปัญหาเกิดจากการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และก่อนเกิดเหตุเพียง 2 เดือนก็ยังใช้อาวุธปืนยิงไปทางคนรับใช้และบุตรคนเล็กจนเอ็กซ์ถูกจับ ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำ และเพิ่งได้รับการประกันตัวมาไม่นาน มีความไม่แน่นอนว่าเอ็กซ์อาจใช้อาวุธปืนกระทำต่อหมอนิ่มและครอบครัวได้ ดังนั้นการกระทำความผิดของแม่หมอนิ่มจึงเข้าข่ายลักษณะของผู้กระทำความผิดที่ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้แม่หมอนิ่มจากประหารชีวิต เป็นจำคุก 25 ปี

สังคมต้องปรับมุมมอง ทัศนคติ และเรียนรู้ว่าถ้าเกิดกรณีแบบนี้ต้องเห็นใจผู้หญิง หรือคนในครอบครัวผู้หญิงมากกว่าจะมองว่าเขาเป็นคนไม่ดี

บ่อยครั้งที่ความรุนแรงในครอบครัว เกิดจากปัญหาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน แม้จะพยายามแก้แต่ก็แก้ไม่ได้ จนทำให้เกิดความรุนแรงถึงแก่ชีวิต ความรู้สึกของคนเป็นแม่เมื่อต้องทนเห็นลูกสาวถูกกระทำผ่านอารมณ์โกรธของฝ่ายชายเป็นเรื่องที่น่ากลัว คนเป็นแม่เมื่อเห็นแบบนั้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าใครก็ทนไม่ได้ ซึ่งตรงนี้สังคมต้องเปลี่ยนวิธีคิดว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ ควรเห็นใจผู้หญิง หรือคนในครอบครัวผู้หญิงมากกว่าจะมองว่าเขาเป็นคนไม่ดี

ทัศนคติชายเป็นใหญ่ที่ยังมีอยู่ ทำให้สถิติการใช้อำนาจของผู้ชายมีอัตราเพิ่มขึ้น

จากสถิติของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มีกรณีสามีฆ่าภรรยา หรือภรรยาฆ่าสามีเพิ่มมากขึ้น และสามีไม่ได้ฆ่าแค่ภรรยาตนเองเท่านั้น แต่ยังฆ่าคนในครอบครัวด้วย ในช่วง 2-3 ปีเห็นชัดว่า มีการฆ่ายกครัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่า ปัญหาการใช้อำนาจของผู้ชายครอบคลุมไปถึงคนในครอบครัวมากขึ้น สาเหตุของการฆ่า ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ เกิดจากความหึงหวง ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ รวมถึงความคิดชายเป็นใหญ่ยังอยู่ในผู้ชายไทยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งยังมีอำนาจอยู่ เพราะการฆ่าคนในครอบครัว สถิติไม่ได้ลดลง ทั้งยังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

กระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงตำรวจต้องมีความเข้าใจเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น ต้องแก้กฎหมายให้เอื้อกับผู้หญิงที่ถูกใช้ความรุนแรง

เรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เพียงทัศนคติชายเป็นใหญ่ที่ก่อให้เกิดปัญหา เรื่องนี้ยังสะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจ เพราะตำรวจหลายคนมองเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว ในบางกรณีเมื่อผู้หญิงไปแจ้งความแต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะตำรวจบางคนมองว่าเดี๋ยวก็กลับมาคืนดีกัน ซึ่งความคิดแบบนี้ยังมีในสังคมไทย และเมื่อกฎหมายไม่ทำงาน ผู้หญิงก็ไม่สามารถหวังพึ่งใครได้ เมื่อป้องกันตนเองไม่ไหว ก็นำมาสู่การทำร้ายสามี

ต้องมีการปฏิรูปสถาบันตำรวจ มีการอบรมในเรื่องของความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ตำรวจต้องรับแจ้งความ และช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด ทำให้ไม่เกิดการกระทำซ้ำมากที่สุด ดังนั้นการปฏิรูปตำรวจจะทำให้ช่วยลดปัญหาความรุนแรงได้

กรณีหมอนิ่มสะท้อนกลไกทั้งหมดของกระบวนการยุติธรรมที่ไม่มีกลไกช่วยเหลือผู้หญิง ดังนั้นกระบวนการยุติธรรม ต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น ต้องมีการแก้กฎหมายหลาย ๆ ตัว ต้องแก้กฎหมายให้เอื้อกับผู้หญิงที่ถูกใช้ความรุนแรง และถ้าวันหนึ่งหากผู้หญิงลุกขึ้นมาทำร้ายผู้ชาย จากเงื่อนไขที่ถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัว ต้องงดเว้นการดำเนินคดี เหมือนอย่างในหลาย ๆ ประเทศ ที่มีใน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว และหากมีการแก้กฎหมาย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรยึดผู้หญิงเป็นศูนย์กลางในการแก้กฎหมายความรุนแรงในครอบครัว ไม่ใช่ยึดเอาครอบครัวเป็นศูนย์กลาง

คนในสังคมต้องเปลี่ยนทัศนคติ ต้องเรียนรู้ว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องของคนสองคน หรือมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

อีกหนึ่งปัญหาที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนคือ ทัศนคติของคนในสังคมยังมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่ต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง ตรงนี้สังคมต้องเรียนรู้ว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เป็นเรื่องประนีประนอมไม่ได้ ไกล่เกลี่ยไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งผู้หญิงเลือกที่จะไม่อยู่กับผู้ชายแล้ว สังคมต้องเข้าใจ เพราะฉะนั้นต้องเลิกความคิดที่ว่า “เลิกกันไปแล้วลูกจะอยู่อย่างไร“ ได้แล้ว เพราะชีวิตครอบครัวถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่ลูก

สังคมต้องเรียนรู้ว่าถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้น ต้องช่วยกันหาทางออก แจ้งเจ้าหน้าที่รัฐ อย่าปล่อยให้ปัญหาเกิดการสะสม เพราะหากสะสมนานขึ้น ความรุนแรงก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอาจนำไปสู่การฆ่ากันได้ ดังนั้นจะมองเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้ หรือการที่ผู้หญิงกลับไปคืนดีกับผู้ชาย แทนที่สังคมจะตั้งคำถามว่า “ทำไมไม่ออกจากความขัดแย้ง” มาทำความเข้าใจว่า เขาอาจจะไม่มีงานทำ หรืออาจจะยังห่วงลูกอยู่ ซึ่งตรงนี้สังคมต้องให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาหาทางออกได้มากขึ้น

ความรุนแรงในครอบครัวไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตน หรือถ้าหากอาจเกิดขึ้น ต้องหาหน่วยงานช่วยเหลือ อย่าปล่อยให้เกิดซ้ำ

ไม่มีใครอยากให้เกิดความรุนแรงขึ้นกับครอบครัวของตนเอง สิ่งที่ทำได้คือครอบครัวต้องเคารพกัน ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เท่ากัน ดังนั้นทุกคนมีความเท่าเทียม ไม่ว่าจะครอบครัวแบบไหนก็ไม่ควรทำร้ายกัน แต่ถ้าหากเลี่ยงไม่ได้ หรือผู้หญิงที่อาจจะเจอสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ต้องหาหน่วยงานช่วยเหลือ และอย่าปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นครั้งที่สอง

เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ คุณจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในเว็บไซต์ มติชนออนไลน์


บทความที่เกี่ยวข้อง
บทสัมภาษณ์ คุณอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในงานกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พ.ย. ของทุกปี “Bring Back 2nd Chance of Life” คืนโอกาสดีๆ ให้ตัวเอง และเลิกให้โอกาสท
บทสัมภาษณ์ คุณอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในงานกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พ.ย. ของทุกปี “Bring Back 2nd Chance of Life” คืนโอกาสดีๆ ให้ตัวเอง และเลิกให้โอกาสที่ 2 กับความรุนแรง
17 ธ.ค. 2024
บทสัมภาษณ์ คุณทสร บุณยเนตร (Chief Creative officer) ผู้แทน บริษัท บีบีดีโอ กรุงเทพ จำกัด ในงานกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พ.ย. ของทุกปี “Bring Back 2nd Chance of Life” คืนโอกาสดีๆ ให้ตัวเอง และเลิกให้โอกาสที่
บทสัมภาษณ์ คุณทสร บุณยเนตร (Chief Creative officer) ผู้แทน บริษัท บีบีดีโอ กรุงเทพ จำกัด ในงานกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พ.ย. ของทุกปี “Bring Back 2nd Chance of Life” คืนโอกาสดีๆ ให้ตัวเอง และเลิกให้โอกาสที่ 2 กับความรุนแรง
17 ธ.ค. 2024
บทสัมภาษณ์ คุณชนกนันท์ ปรีดาเจริญ หรือ มินนี่ ญาติผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในคู่รัก ในงานกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พ.ย. ของทุกปี “Bring Back 2nd Chance of Life” คืนโอกาสดีๆ ให้ตัวเอง และเลิกให้โอกาสที่
บทสัมภาษณ์ คุณชนกนันท์ ปรีดาเจริญ หรือ มินนี่ ญาติผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในคู่รัก ในงานกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พ.ย. ของทุกปี “Bring Back 2nd Chance of Life” คืนโอกาสดีๆ ให้ตัวเอง และเลิกให้โอกาสที่ 2 กับความรุนแรง
17 ธ.ค. 2024
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy