ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กมีปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในสังคมไทย แต่ที่ผ่านมาคนในสังคมมักมองว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลหรือเรื่องภายในครอบครัว ทัศนคติเช่นนี้ส่งผลให้ผู้หญิงและเด็กจำนวนมากต้องแบกรับปัญหานี้ไว้โดยลำพัง และยากจะหาทางออกจากวงจรได้
ทั้งนี้ ในปี 2545 มูลนิธิเพื่อนหญิง และ สสส. ได้ดำเนินงานวิจัยร่วมกับเครือข่ายผู้หญิง 4 พื้นที่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ พบข้อมูลสำคัญว่าการดื่มสุราเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก โดยผู้ชาย ร้อยละ 70-80 ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีประสบการณ์ใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก และเบื้องหลังของปัญหาความรุนแรงยังมีรากเหง้ามาจากค่านิยมสังคมแบบชายเป็นใหญ่ ที่เชื่อว่า “ผู้ชายเป็น ผู้นำครอบครัว สามีเป็นเจ้าของชีวิตภรรยา ดังนั้นจึงมีสิทธิดุด่าทุบตีทำร้ายหรือแม้แต่บังคับให้มีเพศสัมพันธ์ก็ย่อมทำได้” ในสภาพเช่นนี้ ฝ่ายภรรยาต้องยอมจำนนเพราะเรื่องภายในครอบครัวถูกจัดวางให้เป็นเรื่องส่วนตัว โดยที่กลไกของรัฐ หรือแม้แต่ญาติพี่น้องและผู้ใกล้ชิด ก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ
หลังจากที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2554 โดยสมาชิกรุ่นก่อตั้งมูลนิธิฯ หลายคน เป็นแกนนำของมูลนิธิเพื่อนหญิงมาก่อน ที่นี่จึงสานต่อภารกิจในการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง เนื่องจากปัญหายังคงดำเนินมาโดยไม่มีแนวโน้มลดลง และยังคงให้ความสำคัญกับภารกิจนี้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
การให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง อยู่ในความรับผิดชอบของ ฝ่ายส่งเสริม ความเสมอภาคระหว่างเพศมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล โดยมีเป้าหมายหลักในการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ทั้งให้ได้รับสวัสดิภาพจากปัญหาเฉพาะหน้า ควบคู่ไปพร้อมกับกระบวนการ “เสริมพลังปัจเจก” เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทั้งหญิงและชายที่ผ่านพ้นปัญหา พัฒนาศักยภาพภายในตนจนสามารถเป็น ต้นแบบและแกนนำอาสาสมัครในการช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปได้
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา การทำงานของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลในการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ประสบปัญหาความรุนแรง ได้ทำให้เห็นภาพรวมหรือสถานการณ์ปัญหาจริง ๆ ของความรุนแรงทางเพศหรือความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แล้วนำเอาเทคนิควิธีการกระบวนการต่าง ๆ ในการช่วยเหลือรวมไปถึงผู้ประสบปัญหาตัวจริงเสียงจริงมาทำการสื่อสารสาธารณะ จัดทำข้อเสนอแนะเพื่อนำไปสู่การผลักดันนโยบายหรือการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาในการขับเคลื่อนงานออกได้เป็น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะแรก (ช่วงต้นของการก่อตั้งมูลนิธิฯ) เน้นไปในทางสงเคราะห์ และใช้กฎหมายเป็นตัวนำในการดำเนินการช่วยเหลือ โดยมีทนายความเข้ามานั่งประจำในสำนักงานมูลนิธิฯ ทุกวัน เป็นผู้ที่มีบทบาทหลักในการดูแลเรื่องคดีความ และมีอาสาสมัครสังคมสงเคราะห์เข้ามานั่งให้คำปรึกษาทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ข้อดีของการทำงานด้วยวิธีนี้คือทำให้ผู้ประสบปัญหาที่เข้ามาร้องเรียนได้พูดคุยกับทนายโดยตรง แต่จุดอ่อนคือกลุ่มผู้ประสบปัญหาเหล่านี้มีความเปราะบาง จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการให้คำปรึกษาในการพูดคุย
ระยะที่สอง (ปี 2556-ปัจจุบัน) ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานไปสู่การยึดเอาตัวผู้ประสบปัญหาเป็นศูนย์กลาง สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวผู้ประสบปัญหาเอง บนหลักการเคารพศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันของมนุษย์และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในตนเอง มีการทำงานทั้งในส่วนของการช่วยเหลือฟื้นฟู และเสริมพลังอำนาจ จากที่เคยมีทนายความ อาสาสมัครสังคมสงเคราะห์ มานั่งเวรกันในสำนักงานก็เปลี่ยนมาเป็นให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ
เมื่อมีผู้ประสบปัญหาร้องเรียนเข้ามาก็จะได้คุยกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่จะประเมินว่าในแต่ละกรณีสมควรจะได้รับการให้คำปรึกษาด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือไม่เช่นด้านกฎหมายหรือการประสานหน่วยงาน/องค์กรอื่น ๆ เข้ามาสนับสนุนในการให้ความช่วยเหลือช่องทางที่ผู้ประสบปัญหาติดต่อร้องเรียนเข้า มาก็จะมีทั้งการ Walk in, โทรศัพท์, ติดต่อผ่านเพจเฟซบุ๊กของมูลนิธิฯ ซึ่งปัจจุบันมีมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมไปถึงคนที่ได้รับการส่งต่อมาจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ
ด้านกระบวนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา เมื่อรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ประสบปัญหาแล้วเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ จะมีการสัมภาษณ์เพื่อค้นหาปัญหาและข้อเท็จจริง ทั้งจากการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การเชิญให้เข้ามาพูดคุยหารือร่วมกันที่มูลนิธิฯ การตรวจสอบหลักฐานเอกสารต่าง ๆ และการลงเยี่ยมบ้าน หลังจากนั้นจึงจะประเมินปัญหาจากข้อมูลทั้งหมดแล้ววางแผนให้ความช่วยเหลือ โดยหารือร่วมกันกับผู้ประสบปัญหา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำตามหลักความเป็นจริง ว่าอะไรที่สามารถทำได้และสอดคล้องกับความต้องการผู้ประสบปัญหา แล้วจึงค่อยดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามแผนที่ได้ตกลงกันไว้ ไปจนถึงขั้นของการสรุปและติดตามผล
ในขั้นดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา ทางมูลนิธิฯ มีการทำงานอยู่สองด้านหลัก ๆ คือ 1. ด้านการช่วยเหลือฟื้นฟูและเสริมพลังอำนาจ และ 2. ด้านคดีความ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ด้านการช่วยเหลือฟื้นฟูและเสริมพลังอำนาจ การดำเนินงานในด้านนี้ ได้แก่
2. ด้านคดีความ มีการดำเนินงานส่วนต่าง ๆ ได้แก่
......
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พบว่า ผู้ประสบปัญหาหลายรายได้รับความช่วยเหลือ สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ รวมถึงได้รับองค์ความรู้วิธีคิดวิธีการแก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ในการวางแผนและ ตัดสินใจดำเนินการเพื่อหาทางออกเมื่อต้องเจอปัญหาอีกในอนาคต และผู้ที่ผ่านพ้นปัญหามาแล้วหลายราย สามารถดึงศักยภาพตนเองออกมาช่วยเหลือผู้อื่นต่อได้ กลายเป็นผู้มีบทบาทในการสื่อสารกับสังคม